"ม้า-รถ"ชีวิตและความรักของ"อาริย์ณัฏฐา"
- SW Sport News
- May 24, 2020
- 2 min read

ม้า= ชีวิต รถ=ความชอบ เป็นการเปรียบเทียบสองสิ่งที่รักของนักขี่ม้าสาว "มิ้น" อาริย์ณัฏฐา ชวตานนท์ นักขี่ม้าทีมชาติไทยดีกรี 2 เหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 18 จากประเภททีมศิลปการบังคับม้าและทีมอีเว้นติ้ง คาสิโน
กีฬาขี่ม้าคือ "ชีวิต" ของ "มิ้น" หลังจากที่ตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางสายนี้แม้จะเริ่มช้ากว่าคนอื่นๆแต่ "มิ้น" ไม่เคยเอาเรื่องของระยะเวลามาเป็นตัวกำหนดชะตาและเส้นทางที่จะเดิน แต่ใช้ความพยายามมุ่งมั่นและทุ่มเทนจนก้าวมาติดทีมชาติได้สำเร็จ
"มิ้น" เริ่มต้นจากการขี่กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง แต่เพราะมองเห็นเส้นทางที่จะเดินต่อนั้นไปได้ไม่สุดจึงเปลี่ยนมาเล่น "อีเว้นต์" อีเว้นต์ที่ต้องใช้ความทักษะและความสามารถทั้งคนและม้าถึง 3 อย่างด้วยกันคือ ศิลปการบังคับม้า, ครอสคันทรี และ กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และ "มิ้น" ก้าวไปประสบความสำเร็จใน "อีเว้นติ้ง"
แต่...เส้นทางสู่ความสำเร็จของนักขี่ม้าสาวหาได้มาง่ายๆ หลังจากพาทีมคว้าแชมป์อีเว้นติ่งเอเชีย "มิ้น" โดนตรวจพบโด๊ปในม้าซึ่งถือเป็นโทษที่รุนแรงไม่แพ้กับการพบโด๊ปในคน แต่การตรวจพบครั้งนี้มันมีอะไรหลายอย่างให้น่ากังขา นักขี่ม้าสาวถึงกับจ้างทนายระดับโลกเมื่อคัดค้านผลการตรวจแต่สหพันธ์ฯ ยังยืนยันคำเดิม "มิ้น" โดนแบนเป็นเวลา 2 ปี
2 ปีสำหรับนักกีฬาที่ไม่ได้ลงแข่งเลยก็พร้อมที่จะเดินออกจากเส้นทางนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ "มิ้น" ต้องสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันเป็นความผิดพลาด 2ปีที่ปิดโลกตัวเองจากข่าวคราวเกี่ยวกับกีฬาขี่ม้า และฝังตัวเองกับสนามฝึกที่ประเทศเยอรมันเพื่อจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับตัวติดทีมชาติอีกครั้งในซีเกมส์ในปี 2017 ซึ่งการแข่งขันเจ้าภาพไม่จัดอีเว้นติ้ง จัดแข่งเพียงแค่ศิลปการบังคับม้า และกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง
นักกีฬาขี่ม้าสาวไทยจึงเลือกที่จะแข่งศิลปการบังคับม้าเพื่อเป็นการพัฒนาตัวเองนำไปใช้แข่งขัน "อีเว้นติ้ง" และ "มิ้น" ก็กลับก้าวถนนสายทีมชาติได้อย่างสวยงามอีกครั้งกับผลงานล่าสุด 2 เหรียญทองแดง อชก.18 จากประเภททีมศิลปการบังคับม้าและทีมอีเว้นติ้ง รวมถึงแชมป์เอเชียทีมอีเว้นติ้ง 2020 แชมป์ถ้วยพระราชทานปริ้นเซสศิลปการบังคับม้า 2019 และเป็นหนึ่งในผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการขี่ม้าไทยด้วยการคว้าตั๋วเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิด “โตเกียวเกมส์” ในประเภททีมได้เป็นครั้งแรก
2 ปีที่ถูกแบน กลายเป็นบทเรียนที่ทำให้นักขี่ม้าสาวศึกษาทุกกฏ กติกาให้ละเอียดและรอบคอบเพื่อจะไม่ผิดพลาดซ้ำสอง และยังไม่ทิ้งเส้นทางของกีฬาขี่ม้าที่กลายเป็น "ชีวิต" ของนักขี่ม้าสาวไปแล้ว
นอกจากกีฬาขี่ม้าที่เป็น "ชีวิต" ของ "มิ้น" ไปแล้วในมุมนอกสังเวียนขี่ม้า "มิ้น" คนผู้หญิงที่ชอบ และคลั่งไคล้ "รถเก่า" และ "รถซุปเปอร์คาร์" มากเรียกว่าชอบทุกอย่างที่เป็น "รถ" หลงเสน่ห์ของเสียงเครื่องยนต์ที่ยิ่งฟังก็ยิ่งไพเราะ ใครที่บอกเสียงดังแต่ "มิ้น" บอกเสียงเพราะโดยเฉพาะเสียงของรถซุปเปอร์คาร์ และนี้เป็นสาเหตุให้นักขี่ม้าสาวศึกษาเรื่องรถหลังจากว่างเว้นจากการฝึกซ้อมม้า
"มิ้นชอบรถมาตั้งแต่อยู่ ม.2 ไม่รู้เป็นเพราะอะไรแต่พอเห็นรถเก่า รถคลาสิกหรือรถซุปเปอร์คาร์จะชอบมาก มิ้นว่าเสียงมันเพราะ ตอนนั้นจะได้เงินไปโรงเรียนวันละประมาณ120-150 บาท จะใช้กินเพียงแค่ 50 บาที่เหลือจะเก็บเอาไว้ซื้อหนังสือรถ เพราะหนังรถซุปเปอร์คาร์มันแต่เก็บซื้อได้ประมาณ 5-6 เดือนเริ่มไม่ไหวละเราเหลือเงินกินไม่พอเลยเลิกซื้อแต่ก็ยังชอบไปเปิดดูเวลาหนังสือมาวางแผง"
"จนกระทั่ง ม.4 เริ่มจริงจังกับเรื่องรถมากขึ้นที่โรงเรียนจะมีชั่วโมงกิจกรรมหลังเลิกเรียน จะมีให้ต่อโมเดียลที่เกี่ยวกับรถที่ทำจากลังมาต่อเป็นรถ มิ้นทำไม่สวยเลยแต่ชอบก็พยายามจะต่ออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่ฝีมือเรามี ยิ่งช่วงที่มีมอเตอร์โชว์คุณพ่อชอบพาไปดู มิ้นจะดูทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถทั้งกะบะ, รถบ้าน ดูหมดโดยเฉพาะกะบะแร๊ฟเตอร์จะชอบมาก แล้วจะเอาแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมาเปรียบเทียบกัน"
"แต่รถที่ชอบที่สุดจะเป็นซุปเปอร์คาร์ มิ้นว่ารถแต่ละคันแต่ละรุ่นจะมีเรื่องราว มีสตอรี่ที่น่าสนใจ แต่ละคันจะมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกัน ซึ่งรถคันแรกของมิ้นคือ "แมคลาเรน650" คันที่ขับไปประสบอุบัติเหตุที่ อ.ปาย จ.แม่ฮองสอน ที่ชอบแมคลาเรนอย่างเดียวเลยคะประตูเป็นแบบปีกนกมันเท่ย์และไม่เหมือนกับรุ่นอื่น ชอบมาก มิ้นมึความสุขเวลาขับรถ เพราะมิ้นใช้เวลาอยู่บนรถมากกว่าอยู่บ้านเราขับรถไปสอน ไปไหนมาไหนเรียกว่าทุกอย่างอยู่บนรถหมดเลยเลยอยากได้รถที่ขับสขาย นั่งสบาย นิ่ง และต้องสะอาด เพราะมิ้นว่ารถก็เหมือนบ้านเวลาอยู่กับมันเราอยากได้รถที่สะอาด แอร์เย็น นั่งสบาย นั้นถือว่ามีความสุขแล้ว"
"แต่พอรถคันเก่าประสบอุบัติเหตุและเพิ่งจะย่อยซากไป รถคันใหม่ที่ มิ้นเลือก็ยังเป็นรถซุปเปอร์คาร์อยู่ดี คือตัวนี้ชอบมาก FERRARI 488 PISTA ซุปเปอร์คาร์รุ่นพิเศษ 488 Pista นับเป็นรถสปอร์ตเครื่องวางกลางลำขนาด V8 Twin Turbo ที่แรงที่สุดในสายพันธ์ของรถรุ่น 488 จากการพัฒนาต่อยอดระบบขับเคลื่อน และระบบรองรับจากสนามแข่งขันที่ Ferrari ประสบความสำเร็จ"
"โดยคำว่า พิสต้า มีความหมายว่าสนามแข่ง ในภาษาอิตาเลียน ซึ่งนั่นบ่งบอกถึงความตั้งใจของทางเฟอร์รารี่ที่มีต่อรถคันนี้ โดยในการออกแบบทีมวิศวกรได้ทำให้เจ้าพิสต้านั้นมีน้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิมถึง 90 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับตัว 488 GTB ซึ่งมาจากการเลือกใช้วัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้สำหรับกระโปรงหน้า, กันชน, และสปอยเลอร์หลัง อีกทั้งยังมีล้อคาร์บอนมาให้เลือกเป็นออฟชั่นเสริมอีกด้วย"
"อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Ferrari 488 Pista คือกราฟฟิกลาย Racing Livery สีขาว-ดำ คาดยาวตลอดแนวตัวถังด้านบน ส่วนภายในมาในโทนสีดำขลิบสีแดงรอบห้องโดยสาร ขุมพลังของ Ferrari 488 Pista เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร 3,902 ซีซี. เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 720 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ในเกียร์ 7 ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 2.85 วินาที และ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้มากกว่า 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ระบบส่งกำลังแบบ 7 สปีด คลัตช์คู่ เป็นเกียร์ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากเกียร์ F1 เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย: ตัวรถยังมีการติดตั้งระบบควบคุมการขับแบบต่างๆ เช่น F1-Trac ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับความหนืด Magnetorheological ระบบเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบ e-Diff3 และระบบ Ferrari Dynamic Enhancer หรือระบบปรับแรงดันของเบรกที่คาลิเปอร์อัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบนี้"
"ถือเป็นรถซุปเปอร์คาร์คันที่ 2 ของมิ้นตอนซื้อมาราคาอยู่ที่ 38 ล้านบาท พอซื้อมามิ้นออกจาก รพ. ก็ขับเองเลยเพื่อนก็ถามว่าขับได้แล้วเหรอเพราะเราเพิ่งจะผ่าเข่ามาแต่เข่าที่ผ่ามาเป็นเข่าซ้าย แต่เราขับรถด้วยเท้าขวาเลยไม่เป็นอุปสรรค ตอนนี้จะขับไปกายภาพบำบัดและไปสอนน้องๆ ที่สนามเป้า เพราะตอนนี้ร่างกายเริ่มฟื้นฟูกล้ามเนื้อหน้าขามาได้เยอะแล้วเดินสะดวกขึ้น เพียงแต่ยังซ้อมบนม้าไม่ได้ เมื่อยังซ้อมเองไม่ได้ก็ไปสอนเด็ก สอนเสร็จก็ไปทำกายภาพที่ รพ.ต่อในช่วงบ่าย"
"ถือเป็นกิจวัตรประจำวันของมิ้นไปแล้วคะ ตอนนี้ยังขี่ม้าไม่ได้แต่ได้ขับรถก็มีความสุขคะแต่ก็อยากจะหายไวๆจะได้กลับไปซ้อมกับเพื่อนสองคนที่ฝรั่งเศส เพราะม้าสองตัวของมิ้นโค้ชก็ซ้อมให้อยู่ระหว่างที่รอมิ้น ซึ่งตอนนี้จะต้องเตรียมเอกสารใหม่เพื่อขอวีซ่าเข้ายุโรปเพราะวีซ่าหมดอายุแล้วเมื่อวันที่18 พ.ค.ที่ผ่านมา มิ้นต้องรีบดำเนินการวีซ่าซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนและคิดว่าวีซ่าได้มิ้นน่าจะหายทันขึ้นซ้อมม้าได้พอดี"
ตอนนี้ยังขี่ม้าไม่ได้ "มิ้น" ขอใช้เวลากับ "ม้าลำพอง" คันใหม่ให้คุ้มค่าเพราะเมื่อถึงเวลาเดินทางอออกไปแข่งก็ต้องจอดไว้ เพื่อให้เจ้าของกลับไปปฏิบัติภาระกิจที่เปรียบเสมือน "ชีวิต" ที่พากันเดินมาจนสุดทางฝันสู่ "โอลิมปิก" แน่นอนว่าเป้าหมายที่จะขึ้น "โพเดียม" ในโอลิมปิกเกมส์ ยังดูเป็นเรื่องยากเพราะทั้งประสบการณ์นักกีฬา และ "อาชา" ยังมีในเกมระดับนี้น้อยและเป็นครั้งแรกของทั้ง 3 คน แต่..การที่ทั้ง 3 พาทีมไปโอลิมปิก UFA23 ได้ นั้นถือเป็นการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการขี่ม้าแล้วแ ฉะนั้นผลที่ออกมามันจึงเป็นเหมือน "ผลกำไร" และคนเดียวที่จะกำหนดผลกำไรให้ออกมามากน้อยก็คือ "ตัวเอง"
Comments