เทพบุตรคิวทองราชันคิวโลกแห่งยุค80
- SW Sport News
- Apr 29, 2020
- 1 min read

ที่จริงแล้ว ในเวลานี้แฟนสนุกเกอร์ทั่วโลก ควรจะได้ลุ้นและเชียร์ศึกสอยคิวไชน่า คาสิโน โอเพ่น 2020 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งมีกำหนดการณ์เดิมแข่งขันระหว่างวันที่ 30 มีนาคม – 5 เมษายน โดยรายการนี้ มีการชิงเงินรางวัลรวมสูงถึง 1 ล้านปอนด์ นับเป็นรายการที่มียอดเงินรางวัลรวมสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ศึกชิงแชมป์ โลกเพียงรายการเดียว แถมยังมียอดเงินรางวัลสำหรับแชมป์มากถึง 225,000 ปอนด์ นับเป็นเงินรางวัลสำหรับแชมป์ที่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากศึกชิงแชมป์โลกเพียงรายการเดียวอีกเช่นกัน
น่าเสียดายที่ศึกสอยคิวรายการนี้ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากเกิดมหันตภัยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 เสียก่อน จึงส่งผลให้บรรดานักแม่นรูทั้งหลาย พลาดโอกาสลุ้นเงินรางวัลจากศึกไชน่าโอเพ่นแบบไม่มีโชค
ในช่วงที่กีฬาทุกรายการถูกเลื่อนไม่มีกำหนดแบบนี้ สนุกเกอร์เอชคิว สื่อกีฬาสอยคิวชื่อดังของอังกฤษ ได้นำเสนอเรื่องราวของหนึ่งในตำนานแห่งกีฬาแม่นรู ที่หากเอ่ยชื่อไปแล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แม้จะแขวนคิวไปแล้วก็ตาม ซึ่งเขาคนนี้ก็คือ “เทพบุตรคิวทอง” สตีฟ เดวิส ตำนานสอยคิวชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแชมป์โลก 6 สมัย
สนุกเกอร์เอชคิว ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของอดีตนักสอยคิววัย 62 ปีรายนี้ ก่อนที่จะกลายเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่ แห่งวงการคิวโลกในเวลาต่อมา
ย้อนเวลากลับไปในการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์โลกเมื่อปี 1981 หรือเมื่อ 39 ปีก่อน สตีฟ เดวิส ในวัย 23 ปี กำลังเป็นนักสอยคิวดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามอง ด้วยผลงานการแทงที่แม่นสะเด่า ชนิดเห็นรูไม่ได้ จนสามารถคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น(1980-1981) ได้ถึง 4 รายการ ประกอบด้วย ยูเคแชมเปี้ยนชิพ 1980, วิลสันคลาสสิค 1980, ยามาฮ่าออร์แกนโทรฟี่ 1981 และ อิงลิช โปรเฟสชันแนล แชมเปี้ยนชิพ 1981
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มดีแค่ไหน และประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์รายการอื่นมามากมายเพียงใด ทว่าความท้าทายของเขาในตอนนั้นก็คือ การปลดล็อคคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้เสียที หลังจากอกหักมาตลอด 2 ครั้งก่อนหน้านั้น
จึงทำให้ภารกิจการไล่ล่าแชมป์โลกในเวลาดังกล่าว ต่างเต็มเป็นไปด้วยความกดดันจากทุกด้าน แถมตลอดเส้นทาง ยังมีนักสอยคิวยอดฝีมือหลายคน คอยเป็นอุปสรรคขวางกั้นในแต่ละด่านอีกด้วย อาทิ “เดอะเฮอริเคน” อเล็กซ์ ฮิกกินส์(ไอร์แลนด์เหนือ), เทอร์รี่ กริฟฟิธส์(เวลส์) และ คลิฟฟ์ ธอร์เบิร์น(แคนาดา) ผู้ซึ่งเป็นแชมป์เก่าในเวลานั้น
ทว่า ด้วยผลงานการแทงที่กำลังเข้าฝัก ทำให้ สตีฟ เดวิส สามารถพาตัวเองผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โดยเริ่มจากรอบแรกหรือรอบ 32 คนสุดท้าย ด้วยการเอาชนะ จิมมี่ ไวท์ ที่ตอนนั้นอายุเพียง 18 ปีไปได้ 10-8 เฟรม, ตามด้วยการไล่ต้อนเอาชนะ อเล็กซ์ ฮิกกินส์ ในรอบ 16 คน 13-8 เฟรม, จากนั้นหักอก เทอร์รี่ กริฟฟิธส์ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ด้วยการเอาชนะไปได้ 13-9 เฟรม ก่อนที่ในรอบตัดเชือกจะเขี่ย คลิฟฟ์ ธอร์เบิร์น หลุดจากวงโคจรการป้องกันแชมป์ ด้วยการคว้าชัย 16-10 เฟรม ผ่านเข้าชิงกับ ดัก เมาท์ จอย นักสอยคิวจากเวลส์ ที่เปิดบริสุทธิ์ เข้าชิงศึกชิงแชมป์โลกเป็นหนแรกเช่นกัน
จากการที่ทั้งคู่ ไม่เคยเข้าชิงศึกสอยคิวรายการใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน จึงทำให้บรรยากาศ เต็มไปด้วยความกดดัน ท่ามกลางแฟนสนุกเกอร์ที่เข้ามาชมการแข่งขันจนเต็มสังเวียนครูซิเบิลเธียร์เตอร์ แต่จากฟอร์มที่กำลังร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ จึงทำให้ สตีฟ เดวิส เป็นฝ่ายเอาชนะ ดัก เมาท์จอย ไปในที่สุด 18-12 เฟรม คว้าแชมป์โลกสมัยแรกมาครองอย่างยิ่งใหญ่
และจากการคว้าแชมป์โลกในครั้งนั้น นับเป็นย่างก้าวครั้งสำคัญ ที่ทำให้ สตีฟ เดวิส ยกระดับให้ตัวเอง กลายเป็นนักสอยคิวที่เก่งที่สุดในยุคนั้นอย่างแท้จริง จนประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์อีกหลายรายการนับจากนั้น โดยเฉพาะการคว้าแชมป์โลกอีก 5 สมัยในเวลาต่อมา ในปี 1983,1984,1987,1988 และ 1989 โดยศึกชิงแชมป์โลกระหว่างปี 1983-1989 เขาเข้าชิงทั้ง 7 ครั้งติดต่อกัน
ด้วยผลงานอันเอกอุและไร้เทียมทานบนยุทธจักรแห่งกีฬาแม่นรู ได้ทำให้นักสอยคิวเจ้าของฉายา “เทพบุตรคิวทอง” คว้ารางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี BBC Sports Personality of the Year Award ประจำปี 1988 ซึ่งจัดด้วยสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ และเป็นนักสนุกเกอร์คนแรกและคนเดียวที่คว้ารางวัลนี้อีกด้วย สามารถกล่าวได้ว่า สตีฟ เดวิส คือราชันคิวโลกแห่งยุค 80 อย่างแท้จริง เพราะในช่วงเวลานั้น มีเพียงไม่กี่ครั้งที่ปราชัยให้กับคู่แข่ง
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทศวรรษใหม่ในยุค 90 เขาต้องสูญเสียตำแหน่งราชันคิว UFA23 โลกไป หลังจากนักสอยคิวดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งดินแดนสกอตแลนด์ ที่มีนามว่า “มัจจุราชผมทอง” สตีเฟ่น เฮนดรี้ ผงาดขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทน จากการคว้าแชมป์โลกสมัยแรกเมื่อปี 1990 ด้วยวัยเพียง 21 ปีกับอีก 106 วันเท่านั้น พร้อมกับกลายเป็นสถิติการคว้าแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทำลายลงได้
Comentarios